ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมอบรมในหลักสูตร Harnessing AI for Breakthrough Innovation and Strategic Impact ของ Stanford University โดยเป็นหลักสูตรที่จัดทำขึ้นภายใต้ความร่วมมือของหลายคณะในมหาลัย รวมถึง Stanford Institute for Human-Centered Artificial Intelligence (HAI) โดยในบทความนี้ผมจะขอสรุปประเด็นสำคัญจากการเข้าไปอบรมเพื่อมาแชร์ให้ท่านผู้อ่านฟังดังนี้ครับ
แม้ว่า Stanford จะเป็น มหาวิทยาลัยที่เน้นในเรื่องของ Innovation and Engineering แต่ในหลักสูตรนี้มีการนำเอาทั้งคณาจารย์รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาวิชาเข้ามาร่วมกันออกแบบการขับเคลื่อนด้าน AI ที่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาคธุรกิจและสังคม อาจารย์และผู้เชี่ยวชาญแทบทุกท่านเน้นย้ำว่าการขับเคลื่อนด้วย AI ไม่สามารถใช้เพียงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ เนื่องจากต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการทำงาน รวมถึง พนักงานทุกคนในองค์กร และนั่นหมายถึงว่าการขับเคลื่อนด้าน AI จำเป็นจะต้องมีเรื่องของการขับเคลื่อนที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมองค์กรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้เรื่องของ Change management ทั้งในส่วนของกระบวนการทำงานและคนเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำควบคู่กันไป
เน้นที่ปัญหาเราต้องเริ่มจากการดูที่ปัญหาของเราก่อน ไม่ใช่คิดถึงแต่เทคโนโลยีหรือวิธีแก้ปัญหาทันที และเป้าหมายต้องชัด เช่น ถ้าเราเอา AI ในส่วนที่เป็น Machine Learning มาช่วยทำการคาดการณ์ (Prediction) ต้องกำหนดให้ได้ว่า AI ควรจะคาดการณ์อะไรที่สำคัญกับธุรกิจของเรา ต่อจากนั้นเราจะมาสู่การจัดลำดับความสำคัญ (Prioritization) เพื่อเรียงลำดับความสำคัญว่า จะให้ AI คาดการณ์เรื่องไหนก่อน-หลัง
ข้อมูลของเราเองเป็นข้อมูลที่มีค่าที่สุดเราต้องสามารถเปลี่ยนข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นข้อมูลที่ AI เข้าใจได้ (Machine learnable data) คำถามต่อไปก็คือข้อมูลที่เราควรจะรีบจัดเก็บเอาไว้ควรเป็นข้อมูลแบบไหน
ข้อมูลในองค์กรคุณคือข้อมูลที่มีค่าที่สุด เริ่มเก็บรักษาจัดการเค้าตั้งแต่วันนี้ แม้จะยังไม่แน่ใจว่าจะทำ AI usecase แบบไหน ยังไง หรือ จะใช้ข้อมูล มากน้อยแค่ไหน แต่การมีข้อมูล คุณภาพ จำนวนมากจะสร้างความได้เปรียบในการทำ AI transformation ได้ และถ้าเราเข้าใจข้อมูลในองค์กรของเราได้ดี AI agent ต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นจะสร้างมูลค่าให้กับเราได้
ในกระบวนการ AI งานที่สำคัญ อีกส่วนคือการวิเคราะห์และตีความสิ่งที่ AI ทำนายออกมา สำหรับคนส่วนใหญ่ในองค์กร ที่ไม่ใช่มนุษย์ AI จุดนี้คือจุดแข็งของคุณในกระบวนการ AI transformation เพราะการวิเคราะห์หรือตีความผลพยากรณ์ต้องใช้ความเข้าใจในธุรกิจ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจของเราต่อไป
ในการอบรมครั้งนี้ทางหลักสูตรได้มีการเชิญอาจารย์จาก Business School หลายท่านมาให้มุมมองการขับเคลื่อน AI สะท้อนว่าการขับเคลื่อนด้าน AI ให้ประสบความสำเร็จไม่ได้มีแต่เรื่อง Technology อย่างเดียว โดย Prof. Burgelman ได้กล่าวไว้ว่ายุทธศาสตร์ คือ ภาวะของจิตใจหรือแนวคิดที่เราต้องการจะมีเพื่อที่จะสามารถควบคุมหรือกำหนดเป้าหมายของเราเองได้ โดยองค์กรจะมีความมั่นคงยั่งยืนได้ จะต้องมี ยุทธศาสตร์แห่งความเป็นผู้นำ (Strategic Leadership) ซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนแรกคือความคิดที่จะขับเคลื่อนไปสู่การกระทำ ที่สำเร็จในการร่วมมือและการแข่งขัน ส่วนที่สองคือความสามารถขององค์กรที่จะนำไปสู่การควบคุมจุดมุ่งหมายขององค์กร
การมียุทธศาสตร์การเป็นผู้นำที่เน้นเรื่องของความสำเร็จอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้บริษัทหรือสังคมโดยรวมยั่งยืนได้ เพราะความสำเร็จอาจไม่ใช่ความสุขเสมอไป โดยพื้นฐานของมนุษย์เราต้องการความสุขทั้งในด้านตัวบุคคล องค์กร หรือสังคมโดยรวม ซึ่ง ฃจากประเด็นนี้ ทำให้ผู้นำองค์กรหรือผู้นำระดับประเทศ จำเป็นต้องให้ความสำคัญ กับเรื่องของธรรมาภิบาลในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น AI
การขับเคลื่อนองค์กร ไม่ว่ายุทธศาสตร์จะดีแค่ไหน แต่ถ้าแนวทางการปฏิบัติ หรือวัฒนธรรมขององค์กร ไม่ได้เอื้อหรือสนับสนุน ก็ยากที่จะเห็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นั้นประสบความสำเร็จ ดังคำกล่าวที่ว่า culture can eat strategy for breakfast and can eat technology for lunch and dinner เพราะในท้ายที่สุดแล้ว วัฒนธรรมองค์กร คือวิธีปฏิบัติขององค์กร ว่าปฏิบัติต่อคนในองค์กรอย่างไร และคนในองค์กรปฏิบัติต่อกันอย่างไร และยังหมายรวมถึงกระบวนการทำงานว่าคนในองค์กรมีกระบวนการทำงานอย่างไร เมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาใหม่ จะปรับกระบวนการนั้นอย่างไร ทำอย่างไรให้มีความเป็น Silo น้อยลง เพราะคงไม่มีองค์กรใดที่สามารถนำเอาเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้แล้วทุกคนในองค์กรจะยอมรับมันทันที แต่การมีกลยุทธ์จะช่วยทำให้คนในองค์กรทำในสิ่งที่เค้าไม่อยากทำด้วยความตื่นตัวและตื่นเต้น โดยไม่ได้หมายถึง แค่ตื่นเต้นกับวิธีการทำงานใหม่แต่ยังรวมถึงความตื่นเต้นต่อประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นองค์กรและคนในองค์กร เมื่อปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ และด้วยเหตุนี้เราจะต้องมีการสร้างตัวชี้วัด มีการประเมินผลที่เป็นธรรม ที่จะทำให้คนในองค์กรที่ยอมเหนื่อยยอมปรับกระบวนการทำงานได้รับประโยชน์จากมันจริงๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นในรูปของผลตอบแทนที่ดีขึ้นหรือการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเหนื่อยน้อยลง โดย 3 ประเด็นหลักด้านยุทธศาสตร์องค์กรที่ควรนึกถึงเมื่อต้องการทำ AI Transformation คือ
ในอดีตกรอบความคิดที่เกี่ยวข้องกับงานยุทธศาสตร์องค์กรคือ ปัญญา > ความรู้ > ข้อมูลสารสนเทศ > ข้อมูล (Wisdom > Knowledge>Information>Data) แต่การมาของ AI ทำให้มุมมองด้านนี้เปลี่ยนไปกลายเป็น ข้อมูลมหาศาล x ความสามารถในการประมวลผล = พลังอำนาจ (Big data/information x Computation = Power) สิ่งที่เราจำเป็นต้องตระหนักก็คือ เรายังจำเป็นต้องใช้ ปัญญา (Wisdom) ในการใช้พลังอำนาจ (Power) เหล่านั้น
โดยการวัดผลตอบแทนจาก AI (AI ROI) สามารถแบ่งเป็นขั้นตอนได้ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน
เรื่องนี้สำคัญกับธุรกิจของคุณแค่ไหน? จำเป็นต้องมี (ทำให้ธุรกิจยังแข่งขันได้) หรือสร้างความได้เปรียบ (ใช้ข้อมูลหรือจุดแข็งของบริษัทให้เหนือกว่าคู่แข่ง) เป็นโมเดลธุรกิจใหม่หรือไม่ ระบุเป้าหมายให้ชัด และจะวัดผลอย่างไร
ขั้นตอนที่ 2: คำนวณต้นทุนให้ครบ
ต้นทุนของโมเดล AI ต้นทุนแรงงานและการประหยัดแรงงาน ต้นทุนด้าน IT มองหาโอกาสใช้ต้นทุนร่วมกัน อย่าเสียเงินกับเคสเล็กๆ ที่ใช้ครั้งเดียว ประโยชน์ที่ได้ เช่น รายได้เพิ่มขึ้น ผลิตภาพดีขึ้น ระบุให้ชัดว่างานไหนเปลี่ยนจากคนเป็นคอมพิวเตอร์ และมีผลต่อค่าใช้จ่ายอย่างไร
ขั้นตอนที่ 3: ต้นทุนที่ซ่อนอยู่
เพราะยังไม่มีตัวอย่างชัดเจน ทำให้การประเมินต้นทุนเรื่องข้อมูล การเชื่อมต่อระบบ และความปลอดภัย มักต่ำเกินจริง แรงต้านจากวัฒนธรรมองค์กรหรือความกลัวตกงาน ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมใหม่ลดความเสี่ยงโดยวางแผนให้หยุดหรือเปลี่ยนแปลงโครงการได้เร็ว
ขั้นตอนที่ 4: ประโยชน์ที่อาจมองข้าม
การเรียนรู้! โครงการนี้อาจทำให้โครงการอื่นๆ ในอนาคตง่ายขึ้นหรือถูกลง
คุณสามารถต่อยอดจาก foundation models ที่มีอยู่แล้วได้อีกมาก เพราะการสร้างต้องใช้เงินและทรัพยากรจำนวนมหาศาล เช่น GPT-3 มี 96 เลเยอร์ 175 พันล้านพารามิเตอร์ และข้อมูลขนาด 570 GB สำหรับการฝึกโมเดล ส่วน GPT-4 พัฒนาขึ้นโดยใช้เทคนิค multimodal language แต่รายละเอียดข้อมูลไม่ได้เปิดเผย (โดย OpenAI อ้างว่าเพื่อความปลอดภัยด้าน AI และความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน) แม้แต่ในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ก็แข่งกันอย่างดุเดือดในการพัฒนาโมเดลภาษาใหญ่ ปัจจุบันมี Large Language Model (LLM) มากมายและจะมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ประเด็นคือบริษัทเหล่านี้ต่างเร่งแข่งกันโดยใช้ข้อมูลคล้ายคลึงกันในการฝึกโมเดล ส่งผลให้คำตอบที่ได้จากโมเดลก็คล้ายกันและต้องเผชิญกับปัญหาในลักษณะเดียวกัน แนวโน้มนี้อาจดำเนินต่อไปจนกว่าเราจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากโมเดลประเภทใหม่ที่แก้ไขปัญหาในแบบอื่น
จุดเด่นของ machine learning คือการทำนาย (prediction) โดยนำข้อมูลที่มีอยู่มาแปลงเป็นสิ่งที่เราไม่รู้มาก่อน ในกระบวนการนี้มนุษย์ต้องตัดสินใจโดยยึดการพยากรณ์เป็นหลัก แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วย AI จำเป็นต้องมองความท้าทายในการบริหารจัดการเป็นปัญหาการทำนาย
แบบจำลอง AI ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป ยังมีช่องว่างให้พัฒนาอยู่ตลอด เวลา แบบจำลองอาจเกิดการตีความผิด (hallucinate) หรือแสดงอาการเอาใจผู้ใช้ (sycophancy) แต่ในอนาคตแบบจำลองจะได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ตอบโจทย์ได้ตรงตามวัตถุประสงค์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยิ่งขนาดของแบบจำลองใหญ่ขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งต้องใช้ข้อมูลมากขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้นตามไปด้วย
AI ก็เหมือนกับเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย อยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้มันอย่างไร แต่เพื่อให้การใช้เทคโนโลยีเกิดประโยชน์กับคนหมู่มากได้จริงๆ เราจำเป็นจะต้องมีการกำหนดกฎ กติกา และมารยาทการพัฒนาและใช้ AI เพื่อให้เกิดความมั่นคง ยุติธรรม ใช้และเข้าใจง่าย โปร่งใส และรับผิดชอบ (Robust, Fair, Simple, Transparent, Responsible)
การกำกับดูแลเทคโนโลยี AI มีข้อพิจารณาสำคัญ คือ จะกำกับดูแลอย่างไร (how), อะไรบ้างที่ควรถูกกำกับ (what), เมื่อไหร่ควรเริ่มกำกับ (when) และใครเป็นผู้รับผิดชอบในการกำกับดูแล (who)
ความท้าทายในอนาคต: ในอนาคต อุตสาหกรรมแต่ละประเภทอาจจะต้องออกมาตรฐานการดูแล AI เฉพาะของตัวเอง เพราะ AI จะถูกนำไปใช้แบบเฉพาะด้านมากขึ้น (จากเดิมที่ใช้ทั่วไป) การกำกับดูแลแบบเจาะจงแต่ละสาขาจะมีความสำคัญมากขึ้น
จริงๆ ยังมีแนวคิดดีๆ จากการได้มี ยังมีแง่คิดดีดีจากการได้มีโอกาสไปอบรมในหลักสูตรนี้อีกเยอะเลยครับ ไว้ผมจะค่อยค่อยนำเอามาเขียนให้ได้อ่านเพิ่มเติมกันนะครับ ในบทความนี้ขอทิ้งท้ายด้วยการสรุปว่าถ้าเราต้องการนำเอา AI มาใช้ในองค์กรเราควรมีขั้นตอนต่างๆยังไงครับ